โดยปกติแล้ว บริเวณช่องคลอดของผู้หญิงทุกคนไม่ว่าจะเป็นวัยไหน มักจะมีกลิ่นคาวอ่อน ๆ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้โดยทั่ว ๆ ไป อาจจะมีกลิ่นคาวแรงบ้างในช่วงที่ใกล้มีประจำเดือน ซึ่งเกิดจากฮอร์โมนเพศ โดยอาจมีกลิ่นที่แรงร่วมกับการมีตกขาวเหมือนแป้งเปียก หรือขาวใสเล็กน้อย ซึ่งถือว่าเป็นภาวะปกติ และหากจุดซ่อนเร้นมีกลิ่น เราจะมีวิธีดูแลรักษากันอย่างไร เรามาหาสาเหตุของการเกิดกลิ่นกันก่อนดีกว่าค่ะ
สาเหตุที่ทำให้จุดซ่อนเร้นมีกลิ่น
- รักษาความสะอาดบริเวณอวัยวะเพศไม่ดีพอ มีการสะสมของสารคัดหลั่ง หรือจากคราบของประจำเดือน กางเกงชั้นในไม่สะอาด
- เกิดจากการรับประทานอาหารบางชนิดที่ทำให้กลิ่นปนมากับปัสสาวะ เช่น อาหารทะเลบางชนิด หัวหอม ต้นหอม หรือเครื่องเทศบางชนิด
- เกิดจากความอับชื้น เนื่องจากมีเหงื่อออกมาก โดยเฉพาะบริเวณอวัยวะเพศ จึงทำให้ช่องคลอดมีกลิ่น มักเกิดกับผู้หญิงที่มีน้ำหนักตัวมาก
- มีการสวนล้างช่องคลอด เพราะจะทำให้ช่องคลอดมีภาวะเป็นด่าง จำนวนแบคทีเรียที่สร้างกลิ่นจึงสูงขึ้น
- มีการตั้งครรภ์ เพราะจะส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน ซึ่งส่งผลถึงการเจริญเติบโตของแบคทีเรียบางชนิดในช่องคลอด ทำให้ช่องคลอดมีกลิ่นได้เช่นกัน
- การขาดฮอร์โมนเพศหญิงในหญิงที่อยู่ในวัยหมดประจำเดือน จึงทำให้ อวัยวะเพศหญิงมีกลิ่น
- เกิดจากการติดเชื้อ โดยเฉพาะโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ทำให้เกิดการอักเสบติดเชื้อของอวัยวะเพศและของช่องคลอด จึงทำให้ช่องคลอดมีกลิ่นได้
- เกิดจากโรคมะเร็งของอวัยวะเพศ เช่น โรคมะเร็งปากมดลูก โรคมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก หรือ โรคมะเร็งอวัยวะเพศหญิง
จุดซ่อนเร้นมีกลิ่น รักษาหายไหม
เมื่อเริ่มมีกลิ่นที่บริเวณจุดซ่อนเร้น สาว ๆ มักจะไม่ค่อยกล้าที่จะไปพบแพทย์ ซึ่งเป็นขั้นตอนสำคัญในการดูแลอนามัยของช่องคลอด โดยแพทย์จะให้ข้อมูลที่จะเป็นประโยชน์มากต่อการรักษาความสะอาดของบริเวณช่องคลอด รวมทั้งให้คำแนะนำเรื่องผลิตภัณฑ์ในการดูแลสุขอนามัย โดยขึ้นกับค่ากรดด่างเฉพาะของผู้หญิงแต่ละคน
และในการตรวจทั่ว ๆ ไปนั้น แพทย์จะเพียงแค่ตรวจบริเวณช่องคลอดว่ามีอะไรผิดปกติหรือไม่ และสอบถามประวัติอาการ ประวัติเรื่องเพศสัมพันธ์ วิธีดูแลอวัยวะเพศหรือช่องคลอดของผู้ป่วย ประวัติการเจ็บป่วยทั้งในอดีตและปัจจุบัน ประวัติการใช้ยาปฏิชีวนะ ประวัติประจำเดือน และ วิธีการคุมกำเนิดต่าง ๆ
หากตรวจแล้วพบว่ามีการติดเชื้อ หรือมีสัญญาณของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ก็จะได้ให้การรักษาอย่างเหมาะสม สำหรับผู้หญิงที่มีคู่นอนหลายคน แนะนำให้ไปพบสูตินรีแพทย์ปีละสองครั้งเป็นอย่างน้อย เพื่อเข้ารับการตรวจคัดกรองโรคมะเร็งปากมดลูก (Pap Smear) และสิ่งที่ต้องใส่ใจเป็นพิเศษนั่นก็คือ หากมีอาการตกขาวผิดปกติ และช่องคลอดมีกลิ่นเหม็นรุนแรง ควรรีบไปพบแพทย์ทันที
โดยทั่วไป เมื่อแพทย์รักษา และควบคุมสาเหตุของการเกิดกลิ่นได้แล้ว กลิ่นก็จะหายไป แต่อาการช่องคลอดมีกลิ่นก็อาจจะย้อนกลับมาเกิดขึ้นได้อึก ถ้ากลับมามีโรคที่เป็นสาเหตุอีก เช่น โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ หรือเมื่อควบคุมรักษาโรคไม่ได้ เช่น ในโรคมะเร็ง เป็นต้น
เมื่อช่องคลอดมีกลิ่น ควรดูแลตัวเองอย่างไร
หากพบว่าช่องคลอดมีกลิ่นเหม็น โดยเฉพาะเมื่อมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วยดังที่กล่าวมาข้างต้น ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุและวิธีรักษาที่เหมาะสมต่อไป และการปฏิบัติตัวที่เหมาะสมหากช่องคลอดมีกลิ่น มีดังนี้
- เมื่อไปพบแพทย์แล้ว ให้ทำตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด
- ไม่สวนล้างช่องคลอดยกเว้นเป็นคำแนะนำจากแพทย์
- ทุกครั้งที่เข้าห้องน้ำ ควรซับบริเวณด้านนอกช่องคลอดให้แห้งสะอาดเสมอ วิธีนี้จะช่วยกำจัดกลิ่นฉุนของปัสสาวะเหงื่อ และสิ่งที่ร่างกายขับออกมาตามธรรมชาติได้
- ช่วงที่มีประจำเดือน ควรเปลี่ยนผ้าอนามัยบ่อย ๆ
- ดูแลเรื่องความสะอาดของกางเกงชั้นใน สวมใส่กางเกงชั้นในที่ทำจากผ้าที่ระบายอากาศได้ดี และไม่รัดตึงมาก
- รักษาความสะอาดอวัยวะเพศด้วยน้ำพออุ่น ร่วมกับสบู่ที่อ่อนโยน หรือผลิตภัณฑ์ที่ใกล้เคียงธรรมชาติมากที่สุด โดยใช้สบู่แต่ภายนอกเท่านั้น
- หลีกเลี่ยงอาหารเผ็ดและหน่อไม้ฝรั่ง เปลี่ยนไปทานผักผลไม้สด ดื่มน้ำ น้ำสับปะรดและน้ำแครนเบอร์รี่มาก ๆ เพื่อให้บริเวณช่องคลอดไม่มีกลิ่น หรือมีให้น้อยที่สุด
- พบแพทย์ตามนัดเสมอ
การป้องกันไม่ให้ช่องคลอดมีกลิ่น
- การมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัยจะช่วยป้องกันและลดปัญหาที่จะตามมาจากการเจ็บป่วยด้วยโรคเหล่านั้นได้ อย่างการใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์
- รักษาสุขภาพรับประทานอาหารที่มีประโยชน์และดีต่อสุขภาพ รวมถึงออกกำลังกายอย่างเหมาะสม นอกจากจะช่วยสร้างสุขภาพที่ดีโดยรวมแล้ว ยังช่วยให้ระบบต่าง ๆ ภายในร่างกายทำงานได้ตามปกติ รวมทั้งบริเวณช่องคลอดด้วย
บทสรุป
จุดซ่อนเร้นมีกลิ่น เป็นสิ่งที่สาว ๆ ไม่ต้องการให้เกิดขึ้นกับตัวเอง ดังนั้นการรักษาสุขอนามัยที่ดีจึงเป็นวิธีเบื้องต้นที่สาว ๆ สามารถทำได้ และหากดูแลตัวเองแล้วยังมีกลิ่นเกิดขึ้นอีก คงต้องเข้าพบแพทย์เพื่อขอคำปรึกษาและให้แพทย์ทำการรักษาได้ทันท่วงที ทั้งนี้เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดกลิ่นอันไม่พึงประสงค์กับจุดซ่อนเร้นของคุณผู้หญิง