จุดซ่อนเร้นเป็นสิ่งที่สาว ๆ ต้องดูแลเป็นพิเศษ เพราะหากเราไม่ดูแลอาจเกิดกลิ่นไม่พึงประสงค์เกิดขึ้นได้ ซึ่งเมื่อเกิดขึ้นแล้วคงต้องหาวิธีที่จะลดกลิ่นจุดซ่อนเร้นนั้น โดยเริ่มแรกอาจดูแลด้วยตัวเองก่อน แต่เมื่อดูแลแล้วกลิ่นนั้นยังเพิ่มความรุนแรงมากขึ้นคงต้องเข้าพบแพทย์เพื่อขอเข้ารับคำปรึกษาและหาวิธีรักษา ซึ่งเราต้องทราบสาเหตุของการเกิดกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ของจุดซ่อนเร้นก่อน
จุดซ่อนเร้นมีกลิ่น เกิดจากสาเหตุใด
ส่วนใหญ่กลิ่นไม่พึงประสงค์นี้เกิดได้จากฮอร์โมนอาหารที่เรารับประทานเข้าไป ซึ่งบางครั้งอาจเกิดจากความผิดปกติของร่างกายภายในเช่นมีอาการตกขาวคันแสบร้อนระคายเคืองหรือมีกลิ่นคาว ๆ รวมไปถึงการรักษาความสะอาดของร่างกายก็เป็นอีกส่วนหนึ่งด้วยเช่นกัน ซึ่งเราสามารถแบ่งเป็นสาเหตุต่าง ๆ ได้
- เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย เป็นสาเหตุที่เกิดขึ้นได้บ่อยเวลาที่แบคทีเรียในช่องคลอดไม่สมดุล ซึ่งเกิดได้ทั้งกับผู้หญิงที่มีเพศสัมพันธ์และไม่เคยมีเพศสัมพันธ์มาก่อน โดยหลังติดเชื้อแบคทีเรียจะสังเกตเห็นอาการคันและตกขาวเกิดขึ้น
- ติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ ลักษณะเช่นนี้ทำให้เกิดกลิ่นที่จุดซ่อนเร้นได้ และยังมีอาการอื่นที่คล้ายกับคนที่ติดเชื้อแบคทีเรีย คือมีตกขาวมีอาการคันและมีกลิ่น
- การดูแลทำความสะอาดจุดซ่อนเร้น ส่วนใหญ่จะเกิดในช่วงที่มีประจำเดือนหากเกิดอาการอับชื้นก็จะทำให้มีกลิ่นได้ ทางที่ดีคือหมั่นทำความสะอาดและเปลี่ยนผ้าอนามัยทุก ๆ 2 – 4 ชั่วโมงเพื่อสุขอนามัยที่ดี
- อาหารที่รับประทานเข้าไป บางคนเกิดจากอาหารที่มีกลิ่นแรง เช่น ของหมักดองอาหารรสจัดมีกลิ่นฉุนอย่างปลาร้ากระเทียมปลาเค็ม อาจทำจุดซ่อนเร้นมีกลิ่นได้
- ใส่กางเกงที่รัดเกินไป เริ่มตั้งแต่กางเกงชั้นในที่รัดจนเกินไป หรือแม้แต่กางเกงที่รัดแน่นจนทำให้ระบายอากาศไม่ดี ก็อาจจะทำให้มีโอกาสมีกลิ่นที่จุดซ่อนเร้นได้
- ฮอร์โมน ส่วนใหญ่จะเกิดได้บ่อยกับหญิงตั้งครรภ์ ซึ่งอาจจะทำให้มีกลิ่นที่จุดซ่อนเร้นเพิ่มขึ้นเนื่องจากฮอร์โมนมีการเปลี่ยนแปลงในขณะนั้น
วิธีกำจัดกลิ่นจุดซ่อนเร้น
- ควรเลือกชุดชั้นในที่ทำมาจากผ้าฝ้ายเพราะช่วยระบายอากาศได้ดี และควรตากไว้ในที่ลมพัดผ่านอากาศถ่ายเทสะดวก อย่าตากไว้ในที่ร่ม เพราะจะทำให้อับชื้น และเกิดเชื้อราได้ง่าย
- อย่าใส่กางเกงคับเกินไปการใส่กางเกงที่คับเกินไปทำให้เกิดความอับชื้นได้ง่าย
- งดอาหารหมักดองต่าง ๆปลาเค็ม ปลาร้า อาหารทะเล เพราะอาหารเหล่านี้จะไปกระตุ้นทำให้เกิดตกขาว แถมอาจก่อให้เกิดกลิ่นอันไม่พึ่งประสงค์อีกด้วย
- เมื่อมีประจำเดือนควรเปลี่ยนผ้าอนามัยทุก 2 – 3 ชั่วโมง สำหรับแผ่นอนามัยไม่ควรใส่เป็นประจำทุกวัน ควรใส่เฉพาะวันท้าย ๆ ของช่วงที่ใกล้หมดประจำเดือนหรือช่วงที่เป็นตกขาวเท่านั้น
- ล้างด้วยน้ำอุ่นการทำความสะอาดดูแลน้องสาวด้วยน้ำสะอาดก็ช่วยกำจัดกลิ่นได้ในระดับหนึ่ง แต่ถ้าคุณสาว ๆ รู้สึกคันบริเวณจุดซ่อนเร้นมาก ๆ ใช้น้ำอุ่นล้างจะช่วยบรรเทาอาการคันลงได้
- อย่าโกนขน เพราะขนตรงนั้นมันมีประโยชน์ช่วยป้องกันไม่ให้เชื้อโรคเข้าสู่ช่องคลอดได้ง่ายนั่นเอง
- ของหวานต้องระวังสาว ๆ ที่ชอบกินของหวานที่มีน้ำตาลเยอะ ๆ จะเป็นการทำลายแบคทีเรียดี ๆที่อยู่ในน้องสาวไปแบบไม่รู้ตัว ลองกินโยเกิร์ตหรือนมเปรี้ยวก็จะช่วยรักษาสมดุลให้จุดซ่อนเร้นได้ดี
- ทาแป้งการทาแป้งให้กับน้องสาว เป็นการเสี่ยงที่จะก่อให้เป็นโรคมะเร็งรังไข่ ภัยเงียบที่คุณสาว ๆ อาจไม่รู้ตัว
- หากมีอาการผิดปกติปกติตกขาวจะมีสีขาวขุ่น ไม่มีกลิ่น หากมีอาการคัน ตกขาวมีสีเหลือง สีเขียว กลิ่นเหม็นมาก ระคายเคือง แสดงว่ามีความมีความผิดปกติกับจุดซ่อนเร้นของคุณสาว ๆ แล้วควรรีบไปพบสูตินารีแพทย์
- ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดเฉพาะจุดซ่อนเร้นในช่วงที่มีประจำเดือน หรือออกกำลังกายหนักจนเหงื่อไคลท่วมตัว การใช้ผลิตภัณฑ์สำหรับทำความสะอาดจุดซ่อนเร้นที่มีสารสกัดจากธรรมชาติ ก็จะช่วยป้องกันการสะสมของเชื้อแบคทีเรียและลดกลิ่นอับได้อีกด้วย
วิธีลดกลิ่นจุดซ่อนเร้น
- เพราะช่องคลอดคนเราจะมีแบคทีเรียหลายชนิด เรียกได้ว่าเป็นแบคทีเรียประจำถิ่น ถ้าเรากินยาปฏิชีวนะพร่ำเพรื่อ หรือกินอาหารบางประเภทมากเกินไป ล้างไม่สะอาดหรือแม้แต่สะอาดเกินไปจนทำให้แบคทีเรียประจำถิ่นเสียสมดุล ก็จะเกิดกลิ่นได้
- หลีกเลี่ยงการกินอาหารที่อาจทำให้เกิดกลิ่น เช่น อาหารทะเลบางชนิด เครื่องเทศต่าง ๆ หรือบางคนสังเกตได้ว่าตัวเองกินนมเนยชีสมากก็จะเกิดกลิ่นที่อวัยวะเพศ
- ทำความสะอาดจุดซ่อนเร้นด้วยสบู่อ่อนหรือน้ำสะอาดก็เพียงพอแล้ว
- ไม่ใส่กางเกงในที่รัดเป้าแน่นเกินไป
- ไม่สวนล้างช่องคลอด เพราะจะไปทำให้ช่องคลอดมีภาวะเป็นด่าง
บทสรุป
จุดซ่อนเร้น เป็นสิ่งที่สาว ๆ ต้องดูแลเป็นพิเศษ และหากมีกลิ่นคงต้องหาวิธีลดกลิ่นจุดซ่อนเร้น หรือลองวิธีการลดไขมันหน้าท้อง ไม่เกิดอาการออกมา ทั้งนี้เมื่อเกิดกลิ่นจะทำให้สาว ๆ ขาดความมั่นใจ ดังนั้นลองปฏิบัติตามสิ่งที่เราได้นำเสนอไป หากไม่ได้ผลและมีกลิ่นที่แรงเพิ่มมากขึ้นแนะนำให้รีบปรึกษาแพทย์เพื่อเข้ารับการรักษา ทั้งนี้เพื่อสุขอนามัยที่ดีของตัวเอง